***จุดจบ....ชีวิตเกษตรกรชนบท......รอดได้ บนความ “เสี่ยง” ทุกด้าน PDF พิมพ์
เขียนโดย Administrator   

จุดจบ....ชีวิตเกษตรกรชนบท......รอดได้

            บนความ “เสี่ยง” ทุกด้าน

                         ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชนบท  เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรืออัตโนมัติ แต่เกิดจากการออกแบบโดยรัฐ ที่เลือกการผลิตโดยบริษัทการเกษตรยักษ์ที่ผูกขาดทั้งปัจจัยการผลิต ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช เมล็ดพันธุ์ การปลูกพืช – เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ และการกระจายตัวของสินค้า

                มีข้อสมมุติฐานของนักวิชาการระบุว่า “ระบบการค้าสมัยใหม่ และความไม่เป็นธรรม” ในตลาดการผูกขาด กระจายสินค้าการเกษตรโดยการค้าสมัยใหม่ ก็จะพบว่า บริษัทยักษ์การเกษตรกรรม ผูกขาดตลาดสินค้าเกษตรเอาไว้ร้อยละ 70 ของสินค้าเกษตรทั้งหมด ห้างยักษ์ขายสินค้าด้านอาหารราว ร้อยละ 75 นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยสามารถผลิตสินค้าได้ราว 23.2 ล้านตัน มากกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ และจีน ที่ผลิตได้มากที่สุด

                มีการสำรวจพบว่ ค่าใช้จ่ายราวร้อยละ32.0 ของครัวเรือนเกษตรกร ซึ่งเป็นฐานผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศในสภาวะเช่นนี้ การซื้ออาหารเพื่อการบริโภค จึงอยู่วงจรของบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งอาจรวมถึงวิถีชีวิตของเกษตรกรที่เปลี่ยนไปเป็นแรงงานนอกระบบ ต้องพึ่งพา การซื้อสินค้าเพื่อการบริโภค และอยู่ภายใต้วงจรของการเปลี่ยนแปลง

                ปัจจุบันมีประชากรอาศัยในชนบท ร้อยละ 64 ในเมือง ร้อยละ 36 จำแนกสัดส่วนผู้คนในส่วนต่างๆ คือ ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 21 ภาคบริการ ร้อยละ 39 ภาคชนบท ร้อยละ 40 เมื่อพิจารณาฐานชีวิตรายได้คนชนบท ส่วนใหญ่มาจากนอกภาคเกษตรในรูปของค่าจ้าง เงินเดือน ที่ลูกหลานส่งกลับบ้าน ส่วนรายได้ที่มาจากกำไรสุทธิจากการเกษตรมีเพียง ร้อยละราว 11.0 เท่านั้น

                ในโลกชีวิตใหม่ของคนชนบทไทย จึงพึ่งพาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการหารายได้  นอกภาคเกษตร เพื่อนำมาใช้จ่าย สำหรับวิถีชีวิตอย่างกว้างขวาง วิถีชีวิตคนชนบทปัจจุบันในชุมชน ในหมู่บ้านบางหมู่บ้านได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

                ผลงานทางศึกษาวิชาการ ระหว่างชนบท สังคม ชาวนาในโลกที่สามของ Elson  ได้ ฉายภาพให้เห็นกลไก และการเปลี่ยนแปลงในสังคมชาวนา เอเชียอาคเนย์ ที่กล้าจะเข้าสู่กระบวนการเป็นแรงงานรับจ้าง และชีวิตทางเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากจนถึงจุดจบของชาวนา....ตามหนังสือของเขาเรื่อง The end of the peasantry in Southeast Asia

                สภาพโดยทั่วไปชีวิตทางการเกษตรกรรม อยู่ในลักษณะดังกล่าว เป็นเพราะต้นทุนการผลิตพืชทั่วไป เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง สารเคมี แรงงาน มีต้นทุนพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังค้นพบด้วยว่าต้นทุนการเกษตรกรรมของไทย มีการใช้สารเคมีสูงที่สุดในเอเซีย เช่น  การใช้สารเคมีของไทย ในการผลิตข้าว มากกว่า จีน เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย....ซึ่งก็เป็นคำถามที่สำคัญมากกับมาตรการ และแนวทางการอุดหนุนโดย “โครงการจำนำ หรือการประกันรายได้” กับอาชีพต่างๆ นอกเหนืออาชีพเกษตรกรรมว่าจะยาวนานขนาดไหน....การกระจุกตัวของที่ดินทำกิน มีพื้นที่การเกษตรลดลง ส่วนใหญ่ชาวนาภาคกลางจะเช่าพื้นที่ทำการเกษตร

                ฉะนั้น การพึ่งรายได้นอกภาคเกษตรกรรมเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจ แรงงานนอกระบบ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ไม่มีหนทางเลือกเป็นอย่างอื่นได้ (สังเกตจากแรงงานก่อสร้าง, ช่วงไม่ได้ทำนา)

                ความพยายาม แสวงหาทางออกจากวิกฤติชนบทไทย โดยการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนต้นแบบต่างๆ หรือปราชญ์ชาวบ้านแล้วเปล่าร้องโดยหวังว่าผู้คนจะหันมาร่วมทำตามจับต้องได้........กรณีสินค้าโอท็อป.....กรณีสินค้าธงฟ้า...ฯลฯ  ของการแก้ไขปัญหาสมควรที่รัฐจะต้องมาทบทวน สร้างระบบเศรษฐกิจ ทางเลือกอย่างไร บนความจำเป็น การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนสมัยนี้.....(โปรดไปดูงานการสร้าง เมืองเชียงรุ้ง หรือสิบสองปันนา ว่าเขาแก้ไขระบบการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  ระหว่างชาวไทลื้อ สังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ ) 

                การผลิตภายใต้การจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจใหม่ ผลประโยชน์มหาศาลบของบริษัทการเกษตร ที่เชื่อมโยงกับการเมือง และกระบวนนโยบายสาธารณะ เราจะช่วยเหลืออุดหนุน พัฒนาเกษตรกรของเราอย่างไรดีให้ยืนอยู่อย่างยั่งยืน หรือเราจะปล่อยให้เกษตรกรต้องเผชิญชะตากรรม “เสี่ยง” ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก....จุดจบชีวิตชนบท เกษตรกร รอดได้ บนความเสี่ยงทุกด้าน

 

                                                                                                                                                                                                                                                      ดอย   ผ้าห่มปก

Joomla Templates and Joomla Extensions by ZooTemplate.Com
 
*“จุดจบของรัฐบาลไม่ว่าประเทศไหนในโลก” คือ “ความหยิ่งผยองในอำนาจ” และไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง PDF พิมพ์
เขียนโดย Administrator   

“จุดจบของรัฐบาลไม่ว่าประเทศไหนในโลก” คือ  ความหยิ่งผยองในอำนาจ  และไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองกับประชาชน

 

            ท่าม......กลางกระแสต่อต้านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมยกเข่ง และศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินไปแล้วนั้น ความรู้สึก เข้าไปสู่สังคมชั้นกลางอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่หลายคน อาจไม่ชอบเหล่า พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปัตย์ เพราะเนื้อแท้ของ พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับนี้  จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการป้องกัน และการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น ต่อการเสริมสร้างทัศนะคติ  ค่านิยม เกี่ยวกับความชื่อสัตย์ สุจริต และธรรมาภิบาล

            ร่างดังกล่าวยังมีผลกระทบตามพันธกรณี และข้อตกลงระหว่างประเทศ  ในการต่อต้านทุจริต ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามสัตยาบัน เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาต่อต้านทุจริตของ “สหประชาชาติ”

ในฐานะคนเคยเดินสู้บนถนนประชาธิปไตย ที่ได้เห็นสัมผัส กับเหตุการณ์14 ต.ค. 16, 6 ต.ค. 19, 17 ต.ค. 35

19 ก.ย. 49 ด้วยความเจ็บปวด ยิ่งในยามที่ชาติบ้านเมือง แบ่งฝักฝ่าย ขั้วสี แม้สีเหลืองจะด่า แดงจะไม่ชอบ ข้าราชการบางคนก็ไม่ชอบ ด้วยจุดยืนอันมั่นคงที่เราได้พยายามพิสูจน์ ให้คนในชุมชนได้เห็นว่า ไม่ว่าพรรคไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาล เราก็ไม่ได้รับอานิสงส์ใดๆ ยังทำหน้าที่ปกติและก็ได้รับความเจ็บปวด เช่น  ให้ระงับยุติการออกอากาศจากเข้าเช่าธุรกิจวิทยุภาคเอกชนทันที  จากรัฐบาล เราต้องมาเปิดหนังสือพิมพ์ ต้องผลักดันวิทยุชุมชนทั่วประเทศ เรายังถูกควบคุมทางอ้อม ไม่ว่าพรรคไหนมาบริหารประเทศ

            เราไม่ใช่ มีความคิด เป็นพวกไหน สีอะไร ไม่มีผลประโยชน์ แอบแฝง บางครั้งอาจถูกมองว่าเป็นสีแดง  บางครั้งหรือยุคหนึ่งอาจมองว่าเป็นสีเหลือง หรืออาจมองเป็นพรรคข้าราชการ....จุดยืนที่แท้จริงของ ความคิดอิสระ คือพยายาม ชี้ช่องความจริง ให้กับคนในชุมชนระวังภัย เรียนรู้กลุ่มทุนเสรีนิยมสามานย์ที่เข้ามาหาผลประโยชน์จากประชาชนในรูปแบบต่างๆ จากการรวบควบแก้กฎหมายต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ...................

             จากการศึกษาโครงสร้างการปฏิวัติสังคมไทย 2475, ปฏิวัติ 2500 มาจากข้าราชการ ในการสร้างชาติในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะการปฏิรูประบบราชการในรัชกาล ที่ 5 ที่ข้าราชการเป็นจักรกลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบทุนนิยม แต่กลุ่มทุนที่เป็นคนจีนได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีส่วนผลักดัน นโยบายและข้าราชการเป็นผู้เล่นหลักในทางเศรษฐกิจ และการเมืองเรื่อยมา

            การติดตามงานเขียนเชิงวิชาการสังเคราะห์ระบบโครงสร้าง เศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง ของ อ.เสน่ห์ จามริก, อ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร, อ.คริส เบเกอร์ ต่างชี้ให้เห็นว่า.....สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยนักธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง และจริงๆ อย่างที่เราเห็น กลุ่มธุรกิจนโยบาย อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก-นำเข้า กลุ่มทุนอุตสาหกรรมเกษตร กลุ่มอุตสาหกรรมสถาบันการเงิน...ฯลฯ

            จุดของรัฐบาลส่วนใหญ่ที่ผ่านมา ไม่ว่าประเทศไหนในโลก คือ “ความหยิ่งผยอง ในอำนาจ”  และไม่มี“อุดมการณ์” ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง จากการหลงในอำนาจของตัวเอง.....หยิ่งผยอง เชื่อว่าแม้จะมีการทุจริต คอรัปชั่นมากแค่ไหน หากรัฐบาลยังมีเสียงข้างมากในสภาฯ มีฐานเสียงมวลชนที่หนาแน่น ก็ไม่มีใครมาสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้.....ความหน้ามืดตามัว จนท้าทายความรู้สึกของคนในสังคม รู้สึกอึดอัด ที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชนของตนเอง...ในฐานะแสดงความคิดเห็นคนไทยคนหนึ่ง ไม่เลือกพรรค ไม่เลือกสี ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกฝ่าย ไม่เลือกเจ้า-อำมาตย์... อนาคตการเมืองไทย อยู่ในมือคนไทยทุกคน

 

Joomla Templates and Joomla Extensions by ZooTemplate.Com
 
** ทางออก แก้ -ไม่แก้ รัฐธรรมนูญ...เกม....อำนาจ...ผลประโยชน์...ล้วนๆ... PDF พิมพ์
เขียนโดย Administrator   

ทางออก แก้ – ไม่แก้ รัฐธรรมนูญ...

เกม....อำนาจ.....ผลประโยชน์..ล้วนๆ...

                ท่ามกลางแนวโน้มสูงเป็นไปได้ว่า “รัฐบาล” จะเลือกในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ด้วยการทำประชามติ ก่อนที่จะมีการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3

                ประเด็นต่างๆ ของการประชามติ ขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมายว่าอะไร อย่างไร ง่าย ยาก แค่ไหน ผู้อ่านก็ต้องไปศึกกันเอาเองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง.....ส่วนใครจะคิดยังไงก็สุดแท้ เพราะ หลายฝ่ายพยายาม “เลี่ยงเกมอันตราย” การส่งสัญญาณของแต่ละฝ่าย ปรองดอง สามัคคี “ก็รู้ๆกันอยู่แล้ว” อย่างช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมืองแบบยาวๆ พอสรุปได้ว่า ประเทศชาติจะพัฒนาในสภาพของความแตกต่างแยกได้อย่างไร ไม่ให้มีอุปสรรค....ความคิดแตกแยกไม่ใช่อุปสรรค ไม่ใช่ปัญหา...ฯลฯ

                ฟากฝั่ง ขั้ว สี อำนาจ ฝ่ายต่างๆ.....อาจเป็นทุกข์เป็นปัญหาของคนที่มองเห็น “มติ” การเมืองเพื่อกลุ่มพวกพ้องของพวกใครจะได้เปรียบ เสียเปรียบ โดยการแก้ไขปัญหาไม่ได้มุ่งจุดหมายเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เมื่อเราศึกษาลึกๆ ลงไป ไม่ว่า การประกันราคาข้าว การจำนำข้าว เมื่อเจาะลึกๆ เข้าไปอีก ก็โกงทั้งสิ้น และก็เกิดจากนโยบายของรัฐบาล และความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น กับผู้เสียภาษีทุกคน ในการคิดแบบกว้างๆ ทอดยาวออกไปอีก..........

                จากสถิติ ผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียง ลงประชามติ รับ-ไม่รับ รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2550 ของประชาชน 45 ล้านคน ปัจจุบันคาดว่าจะมีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงประมาณ 48 ล้านคน จากประมาณการว่าจะมีผู้มาออกเสียง 25 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 57.61 % มีผู้เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ 14 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 56.69 % จำนวนผู้ไม่เห็นชอบแก้ร่างรัฐธรรมนูญ 10,747,444 คิดเป็นร้อยละ 41.37 % บัตรเสียร้อยละ 1.94 %

                หากมองดูผู้มีสิทธิ์ออกเสียงรายภาค เช่น กรุงเทพฯ – ภาคกลาง มีผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 15,144,307 คน ใช้สิทธิ์ 8,741,488 คน คิดเป็นร้อยละ 57.72 % บัตรเสีย 151,841 ใบ คิดเป็น 1.74 % เห็นชอบ 5,714,973 เสียง คิดเป็น 65.38 % ไม่เห็นชอบ 2,874,674 เสียง คิดเป็น 32.89%

                ภายใต้ 14 จังหวัด ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 6,268,074 คน ใช้สิทธิ์ 3,717,664 คน คิดเป็น 59.31% บัตรเสีย2.08 % ผลการออกเสียงเห็นชอบ 3,214,506 เสียง คิดเป็น 86.47 % ไม่เห็นชอบ 425,883 เสียงคิดเป็น 11.46 %

                ภาคอีสาน 19 จังหวัด 15,351,973 คน ภาคเหนือ 17 จังหวัด 8,328,601 คน ของผู้มาออกใช้สิทธิ์ ทั้ง 2 ภาค รับ – ไม่รับ เมื่อคิดอัตราออกเป็นร้อยละด้วยกระแสความ “สุ่มเสี่ยง” ทางออก แก้ – ไม่แก้ รัฐธรรมนูญไม่ว่า ผลจะออกมาเช่นไร ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน เอา ไม่เอา ก็ตาม ขอให้เป็นการส่งสัญญาณที่ดีของทางออกของประเทศที่มีความขัดแย้งมาเป็นเวลายาวนานด้วย “เกม..แห่งอำนาจ....ผลประโยชน์ พวกหัวกระทิล้วนๆ ชาวบ้านตาดำๆ อย่างพวกเราก็รับแต่เศษเนื้อที่เขาหยิบยื่น..โยนให้....เดี๋ยวก็มีนโยบายใหม่ๆ มาแล้วจ้า.........”

Joomla Templates and Joomla Extensions by ZooTemplate.Com
 
*เศรษฐกิจ สังคม การเมือง “เป็นมากกว่าที่เราคิด” เซ็ง เบื่อ แค่ไหน.........ก็ต้องทน PDF พิมพ์
เขียนโดย Administrator   

เศรษฐกิจ สังคม   การเมือง “เป็นมากกว่าที่เราคิด”

เซ็ง   เบื่อ แค่ไหน.........ก็ต้องทน

 

                ชีวิตคนเราหากถูก กระหน่ำ ซ้ำเติม จำเจ ซ้ำซาก ด้วยข้อมูลข่าวสาร และมองเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ความรู้สึกเซ็ง ชาชินกับข่าว บางครั้งอาจจะไม่รู้สึกตื่นเต้น หรือเห็นความสำคัญอะไรเลย

                กรณีเรื่องใหญ่ๆ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นหัวใจสำคัญ กฏหมายของประเทศที่จะนำทางประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ที่ไม่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจรัฐ และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม การดำเนินการทางการเมืองที่ขาดความโปร่งใส ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม ระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจที่ล้มเหลว และการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนยังไม่ได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมอย่างเต็มที่

                ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาแก้รัฐธรรมนูญกันอย่างไร เป้าหมายของรัฐธรรมนูญ คืออะไรกันแน่ หลายคนที่รู้เบื่อ เซ็ง กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐธรรมนูญ นักการเมือง เป็นผู้กำหนด หรือประชาชน ทุกกลุ่มสายอาชีพเป็นผู้กำหนด ประชาชนทั่วประเทศได้ประโยชน์อะไรจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

                การประกันราคาข้าว การจำนำข้าวทุกเมล็ด ค่าแรง 300 บาท รถคันแรก บ้านหลังแรก ฯลฯ....เชื่อว่าต่อนี้ไปรัฐบาลพรรคไหนๆ ขึ้นมาบริหารประเทศต่างจะต้องใช้นโยบายประชาชนนิยม เพื่อเอาอกเอาใจประชาชน ซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นไปอีกแบบไม่รู้จบ และสุดท้ายผลกระทบต่อปากท้อง ต่ออุตสาหกรรม ต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ มีโอกาสโดนกันถ้วนหน้าอย่างมีให้เห็นในหลายประเทศ ณ ช่วงนี้เราต่างขอให้เราเป็นสุขเอาไว้ก่อน

                ด้วยความคิดเห็นฝ่ายทัวร์ของเราไปเมืองจีน สิบสองปันนา (เชียงรุ้ง) มาร่วม 12 ปีเล่าให้ฟังถึงสิทธิให้ความคุ้มครองในอาชีพต่างๆ เอาง่ายสุดอย่าง ก๋วยเต๋ยว เคยกินข้างทาง 3 6 หยวน (1 หยวน เท่ากับ 5 บาท โดยเฉลี่ย) ยังราคาเดิมๆ ผักสด อาหารพื้นฐานในตลาดสด เมืองต่างๆ ยังคงราคาเดิม.... เมืองไทย เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ฯลฯ มากกว่าที่เราคิด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก...มีห้างสะดวกซื้อและโมเดสเทรสกว่า 11,461 แห่ง มากกว่าสหรัฐอเมริกา มากกว่าเมืองต้นแบบประเทศอังกฤษ มีการผูกขาดอะไรบ้าง...ประชาชนถูกลิดลอนสิทธิ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อย่างไร นโยบายฉาบฉวย ไม่ส่งเสริมการออม ใช้จ่ายเงินเกินตัว ผลกระทบประโยชน์โดยรวม ตกไปยังไม่กี่กลุ่ม.... เซ็ง เบื่อ แค่ไหนก็ต้องทน เพราะเมืองไทยของเรา มีอะไรมากกว่าที่เราคิด

Joomla Templates and Joomla Extensions by ZooTemplate.Com
 
* ระวังแก๊งปุ๋ยปลอม ระบาดที่อีสาน ปลูกข้าวอินทรีย์ กันดีกว่า......ใช้สารเคมี PDF พิมพ์
เขียนโดย Administrator   

ระวังแก๊งปุ๋ยปลอม ระบาดที่อีสาน

ปลูกข้าวอินทรีย์ กันดีกว่า......ใช้สารเคมี

 

                ปลายปีที่ผ่านมาได้พบปะเพื่อนฝูง ฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในแวดวงทำงานด้านการเกษตรกับเกษตรกรชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ด้วยความซอกแซกที่อยากรู้เรื่องการ “ทำนาแบบอินทรีย์” ที่สำเร็จ โดยเพื่อนเกษตรท่านร่างยาวหลายกิโล กับโฟกัสที่ถูกจากเพื่อนเกษตรแดนอีสานท่านหนึ่ง บอกว่า.....ที่จังหวัดเลยของตนเองพบมีปุ๋ยเคมีปลอม สูตร 15-5-30 เครื่องหมายการค้ายี่ห้อหนึ่ง หลายร้อยกระสอบ หนักกว่า 16 ตัน มูลค่าหลายแสนบาท และได้รายงานให้เจ้านาย “อธิบดี” เป็นที่เรียบร้อย โดยท่านเกษตรอำเภอ ปุ๋ยปลอมที่จับได้เป็นปุ๋ยผสมมีปริมาณธาตุอาหารต่ำ เนื่องจากผู้ผลิตใส่ปุ๋ยลงไปไม่ครบส่วน

                ก็เป็นที่น่ายินดี จากการตรวจสอบร้านค้าจำหน่ายปุ๋ยทั่วประเทศร่วม 3 หมื่นแห่ง พร้อมสุ่มตัวอย่างมาตรวจวิเคราะห์ พบปุ๋ยที่ไม่ได้มาตรฐาน 12 % และจากการสุ่มเก็บตัวอย่างมาตรวจวิเคราะห์ พบว่ามีวัตถุอันตรายไม่ได้มาตรฐาน 4 %

                ในฐานะอาชีพแตกต่างจากเพื่อนๆ วัยรุ่นเหลือน้อย (ใกล้ฝั่ง) จึงฝากให้เราช่วยเป็นข่าวว่า มีปุ๋ยปลอมไม่ได้มาตรฐานในพื้นที่ทางภาคอีสานค่อนข้างเยอะ และฝากให้เกษตรกรคัดเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

                ต่างฝ่ายต่างโต้แย้งกันไปมา ผู้เขียนเลยสรุป เอาสั้นๆ ในระหว่างฉลองปีใหม่ว่า ตั๋วเครื่องบินปลอม ทัวร์ปลอม เงินปลอม พระปลอม ไม่มีของดีราคาถูก ลด แลก แจก แถม ขึ้นอยู่กับพวกมึงๆ.....ควรส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตพืชอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมี เพื่อความมั่นคงทางอาหาร การพึ่งพาตนเอง และการไม่มีหนี้สินของเกษตร....(โว้ย)

                ก็เลยยกตัวอย่าง พ่อแดง หาทวี   ชาวนา จ.อุบลราชธานี ที่ได้รับเกษตรกร “รางวัลระพีวิจัย” ปี 2555 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา ที่ประสบสำเร็จให้ผลผลิตข้าว ได้เกือบ 2,000 กก./ไร่ และมีต้นทุนการผลิตประมาณ 300-600 บาท/ไร่ (ไม่รวมค่าแรง) ในขณะต้นทุนการทำนาของชาวนาไทยทั่วไป อยู่ที่ราว 5 พันบาท/ไร่ (ไม่รวมค่าแรง)....

                ก็ฝากบอกผ่านเพื่อนๆ พี่น้องชาว “พระพิรุณ” จะลูกแม่ไหนไม่สำคัญ ช่วยเป็นหูเป็นตา เรื่องปุ๋ย สารเคมี ตั้งแต่ ร่ำเรียนเกษตรมาถึงปัจจุบัน ตัวยาสารเคมียังเดิมๆ เปลี่ยนแต่ชื่อการค้าสวยหรู ตัวยายังคงเดิม โฆษณาอย่างบ้าคลั่ง แถมมีออฟชั่นมากมาย.....ทางรอดของเกษตรกรไทยต้องมาจาก “อินทรีย์” ไม่ใช่เคมีและในฐานะ “ลูกพระพิอรุณ” คนหนึ่ง สงสารเกษตรกรไทยเป็นหนี้เป็นสิน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย....ส้ม วอดวายเป็นสวนๆ จะหมดเมืองฝางอยู่แล้ว ไม่รู้เหลือกี่หมื่นไร่

                ก็อยากฝากบอกถึงระบบข้างบน ตั้งแต่คนนำเข้า คนขาย คนอนุมัติ และคนให้เงินกู้ ดูให้ครบวงจร....โดยเฉพาะโครงการปีที่ผ่านมา การรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ราคาข้าวสูงกว่าท้องตลาด ต้องขอกราบอภัยพี่น้องชาวนาด้วยนะครับ ไม่ได้คิดค้านเพื่อนกระดูกสันหลังของชาติเลย.....ภายใต้โครงการพรหมผืนใหญ่ที่สวยหรู ยังมีผู้เอาเปรียบชาวนาหลายชั้น

                ก็สรุปเอาเป็นว่าทำนาแบบอินทรีย์หรือเคมี อย่างไหนดีกว่ากัน ว่างๆ จะหาสกุ๊ปพิเศษ ชาวนา-เกษตรกรบ้านเราที่ประสบความสำเร็จในการเพราะปลูกมาให้อ่าน และหลายคนระหว่างชนแก้วเพื่อนร่วมรุ่นมีทั้งเพื่อนฝ่ายเคมี และฝ่ายอินทรีย์....เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสผู้เขียนมีโอกาสจะหาข้อมูลนำทั้งสองฟากฝั่งของข้อมูลมาหักล้างถางพง-ระหว่างขั้วเคมี   ขั้วอินทรีย์.....ปีนี้ขอให้เกษตรไทยจงเจริญรวยๆ ตลอดไป

 

พิรุณ  น้อย

 

 

Joomla Templates and Joomla Extensions by ZooTemplate.Com
 
<< เริ่มแรก < ย้อนกลับ 1 2 3 4 5 ถัดไป > สุดท้าย >>

JPAGE_CURRENT_OF_TOTAL

ข่าวสาร Facebook

mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterวันนี้104
mod_vvisit_counterเมื่อวานนี้1345
mod_vvisit_counterสัปดาห์นี้8910
mod_vvisit_counterสัปดาห์ที่แล้ว5210
mod_vvisit_counterเดือนนี้17244
mod_vvisit_counterทั้งหมด2623946

มีผู้ใช้งาน: 9 บุคคลทั่วไป ออนไลน์
ไอพี: 18.218.184.214